Last updated: 29 มิ.ย. 2561 | 8726 จำนวนผู้เข้าชม |
ทางการแพทย์ศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งจริง แต่เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยสงสัยกันว่า แล้วต้องดื่มเท่าไรถึงจะเป็น “โรคตับแข็ง”
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำที่มีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 5 หน่วย เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี จะมีผลเสียต่อตับอย่างชัดเจน และมีโอกาสเสี่ยงเป็น “โรคตับแข็ง ประมาณ 15 – 20%”
โดยเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันค่ะ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
· เบียร์ 100 มิลลิลิตร ให้ปริมาณแอลกอฮอล์ 4 กรัม / เบียร์ 1 ขวด มีปริมาณแอลกอฮอล์ 13 กรัม
· ไวน์ 100 มิลลิลิตร ให้ปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม / ไวน์ 1 แก้วปกติ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม
· วิสกี้ 100 มิลลิลิตร ให้ปริมาณแอลกอฮอล์ 40 กรัม / วิสกี้ 2 ฝา มีปริมาณแอลกอฮอล์ 15 กรัม
แต่สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มจริงๆ วันนี้เราจะมาแนะนำแนวทางการดื่มแอลกอฮอล์กันค่ะ(สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีและมีภาวะตับที่ปกติ)
- การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเข้าสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ควรดื่มแค่พอประมาณด้วยเช่นกัน
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ชาย ดื่มได้วันละไม่เกิน 3 หน่วย และผู้หญิงไม่เกินวันละ 2 หน่วย แต่ตัวเลขนี้แพทย์ใช้กับชาวยุโรปส่วนใหญ่มีน้ำหนักตัวมากกว่าคนไทย ดังนั้นผู้ชายไทยจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าวันละ 2 หน่วย และผู้หญิงเกินกว่าวันละ 1 หน่วย
- ควรดื่มพร้อมกับการทานอาหารเพราะจะมีผลเสียน้อยกว่าการดื่มขณะท้องว่าง
- การดื่มครั้งละน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เกิดโทษต่อตับน้อยกว่าการดื่มครั้งละมากๆ ในปริมาณแอลกอฮอล์ที่เท่ากัน
โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากมีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะทำให้เกิดผลเสียต่อตับในระยะยาว เกิดการสะสมของพังผืดและทำให้ตับแข็ง แต่ถ้าหากมีการเว้นระยะหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ในระดับหนึ่งค่ะ
อาการของโรคตับแข็งที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในระยะแรกของโรคตับแข็งอาจไม่มีอาการใดๆ เลยนอกจากผลการตรวจเลือดที่บ่งบอกความผิดปกติหรืออาจจะมีอาการต่อไปนี้
– รู้สึกไม่สบาย เบื่ออาหาร อยากอาเจียน
– คันตามผิวหนัง
– น้ำหนักตัวลดลง
เมื่อโรคดำเนินต่อเนื่องอาการที่มีอาจรวมถึง
– สีผิวหนังและสีของตาขาวออกสีเหลืองที่เรียกว่าดีซ่าน
– ช่องท้องและขาบวม
– กล้ามเนื้อลีบเล็กลง
– ปรากฏเส้นเลือดฝอยเหมือนแมงมุมบนผิวหนัง
– ผิวหนังช้ำและมีเลือดออกง่าย
– อาเจียนเป็นเลือดหรือมีเลือดในอุจจาระ
– รู้สึกสับสนหรือความจำไม่ดี
– อุณหภูมิร่างกายสูงจากการมีไข้เพราะมีการติดเชื้อ
– การเปลี่ยนแปลงที่แสดงลักษณะทางเพศ เช่น ในผู้ชายอาจสังเกตเห็นว่าเส้นขนตามร่างกายน้อยลง ลูกอัณฑะฝ่อเล็กลง (testicular atrophy) และมีเนื้อเยื่อเต้านมมากขึ้น (gynaecomastia) ถ้าเป็นผู้หญิงอาจจะมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดจะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงตับ ทำให้หลอดเลือดดำพอร์ทอลที่เชื่อมต่อระหว่างลำไส้และตับมีความดันสูงขึ้น (Portal hypertension) ความดันที่สูงนี้จึงดันเลือดที่จะไหลไปที่หัวใจให้ไหลผ่านเส้นเลือดอื่นแทนที่จะผ่านตับ เป็นผลทำให้มีการขยายของเส้นเลือดในเยื่อบุกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร เกิดเป็นภาวะเส้นเลือดขอด (varices) ซึ่งถ้ามีเลือดออกด้วยอย่างช้าๆ ก็จะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และยังเป็นภาวะเสี่ยงที่จะมีเลือดออกอย่างรุนแรงที่ต้องรักษาฉุกเฉิน
โรคตับแข็งนอกจากสามารถนำไปสู่ภาวะตับวาย (Liver failure) แล้ว ยังสามารถนำไปสู่กลุ่มอาการโรคไตเนื่องจากโรคตับ (Hepatorenal syndrome) และสมองทำงานผิดปกติ (Encephalopathy) ได้ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งตับด้วย
บุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
1. หญิงตั้งครรภ์
2. หญิงให้นมบุตร
3. คนที่เป็นโรคเบาหวาน
4. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบชนิดซีที่เป็นแบบเรื้อรัง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีส่วนช่วยทำให้โรคไวรัสตับอักเสบชนิดซีนั้นลุกลามอย่างรวดเร็ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Tel: 084-6368708, 062-4567878
Line: @Thaiherb2017
Facebook page: https://www.facebook.com/thaiherb2017
23 ส.ค. 2567
8 พ.ย. 2561